fbpx
วิธีการเล่นหุ้นและวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค

เหตุผลที่ผม “เลิกดู” กราฟหุ้น (ด้วยตาเปล่า)

Google+ Pinterest LinkedIn Tumblr

Trader

ว่ากันว่าถ้าคุณอยากจะเป็นนักเก็งกำไรที่เก่งกาจ คุณจะต้องฝึกๆๆๆ โดยเฉพาะกับการฝึก “ดูกราฟ” หุ้นให้ช่ำชอง อย่างไรก็ตามในบทความนี้ผมอยากจะแชร์เหตุผลบางอย่างที่ว่า เหตุใดในปัจจุบันผมจึงไม่ค่อยเห็นด้วยกับการฝึก ดูกราฟ-ตีกราฟ-ลากเส้นกราฟ แบบดั้งเดิมมากสักเท่าไหร่นัก และทำไมผมจึงมักจะบอกทุกคนว่าผมนั้น “เลิก” ดูกราฟหุ้นมานานหลายปีแล้ว และต่อไปนี้ก็คือเหตุผลของผมครับ

“ฝึกดูกราฟ” สิ่งที่คุณไม่ควรทำและเชื่อมั่นมากจนเกินไป

ผมคงจะปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการ “ดูกราฟ” หรือการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคแบบดั้งเดิม (Subjective Technical Analysis) นั้นถือได้ว่าเป็นศาสตร์แรกๆที่ผมได้เรียนรู้ในตลาดหุ้น และถือเป็นวิชา “ครู” ในการเล่นหุ้นของผมมาอย่างยาวนานเกือบ 10 ปีเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนั้น การดูฝึกกราฟด้วย “ตาเปล่า” นั้น ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ผมไม่ค่อยอยากที่จะแนะนำให้ใครทำมันอย่างหนักหรือยาวนานอีกต่อไปแล้ว ซึ่งเหตุผลนั้นไม่ใช่เพราะว่ามันจะทำให้คุณปวดตาหรือว่าการดูกราฟนั้นไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด (เพราะอันที่จริงแล้วการดูกราฟด้วยตาเปล่านั้นก็ถือได้ว่าเป็นหนทางในการเรียนรู้พฤติกรรมของตลาดและราคาหุ้นได้อย่างรวดเร็วที่สุดทางหนึ่งอีกด้วย)

แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมผมจึงไม่แนะนำให้คุณ “ฝึกดูกราฟ” กันอย่างหนัก หรือหมกมุ่นกันจนหมกมุ่นเกินไปน่ะหรือครับ!?

คำตอบก็เพราะถึงแม้ว่าการฝึกดูกราฟด้วยตาเปล่าหรือการเรียนรู้วิชา Technical Analysis แบบดั้งเดิมนั้นจะช่วยให้คุณสามารถใช้สัญชาติญาณของคุณในการทำความเข้าใจกับตลาดได้อย่างรวดเร็ว แต่ในอีกมุมหนึ่งแล้วกระบวนการประมวลผลแบบคิดลัดของสมองมนุษย์ (Heuristic Judgement Process) ที่เกิดขึ้นในขณะที่เราดูกราฟนั้นมักที่จะทำให้เราเกิดข้อผิดพลาดในการสรุปข้อมูลและผลลัพท์ไปได้เป็นอย่างมาก และมันก็มักที่จะทำให้คุณมีความเชื่อจนนำไปสู่การกระทำต่างๆที่จะทำให้คุณขาดทุนโดยที่คุณไม่รู้ตัวเลยทีเดียว

โดยที่เหตุผลในแต่ละข้อต่อไปนี้ คือสาเหตุหลักๆที่ทำให้การฝึกดูกราฟอย่างหนักด้วยตาเปล่าเพียงอย่างเดียวอาจก่อให้เกิดอันตรายกับพอร์ทโฟลิโอของคุณได้โดยคาดไม่ถึง ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่ผมอยากจะแชร์ให้อ่านกันเอาไว้ ถึงแม้ว่าผมจะเสี่ยงที่จะโดนนักดูกราฟหลายๆคนด่าและยำเละในบทความนี้ก็ตามครับ Open-mouthed smile

1. การดูกราฟหุ้นด้วยตาเปล่านั้นเป็นสิ่งที่คลุมเครือ

เหตผลอันดับแรกที่ผมคิดว่าจะทำให้ทุกคนเข้าใจถึงจุดอ่อนของการดูกราฟด้วยสายตาหรือ Technical Analysis แบบดั้งเดิมได้อย่างง่ายที่สุดนั้น ก็คือความคลุมเครือของตัววิชาเอง รวมไปถึงความคลุมเครือที่จะเกิดจากการตีความของผู้ใช้

โดยหากคุณได้ลองนึกให้ดีถึงบทเรียนในการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคเบื้องต้นเกือบทุกๆเล่มคุณจะพบว่า พวกมันก็มักจะประกอบไปด้วยหลักการของ Dow Theory, Price Pattern, Elliott Wave และอื่นๆซึ่ง … ถูกสังเกตและสร้างขึ้นมาจาก “กฎหลวมๆ” ที่ไม่ได้ให้ความหมายหรือระบุค่าตัวแปรไว้อย่างชัดเจน จนทำให้พวกเราทุกๆคนไม่สามารถที่จะตีความกราฟไปในทางเดียวกันได้ในทุกๆครั้ง

โดยที่เจ้ากฎหลวมๆของวิชา Technical Analysis แบบดั้งเดิมเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นกราฟแบบ หัว, ไหล่, ตูด, ธง, ชามคว่ำ, ชามหงายและอื่นๆอีกมากมายนั้น ก็มักที่จะทำให้พวกเราทุกคนพร้อมที่จะมีข้ออ้างในการตัดสินใจและความลังเลใจอยู่บ่อยครั้งจนสูญเสียวินัยในการลงทุนไป เพราะเรามักจะมีข้อแก้ตัวเมื่อเราย้อนกลับมาดูความผิดพลาดของเราเสมอ (ยกตัวอย่างเช่น เรามักแก้ตัวว่ามองกราฟผิดรูปแบบไป) นี่จึงเป็นจุดอ่อนข้อแรกของการดูกราฟด้วยตาที่ผมอยากจะพูดถึงนั่นเอง

elliott-wave-theory

ภาพที่ 1 : Elliott Wave ทฤษฏีอีเลียทเวฟ หนึ่งในวิชาการวิเคราะห์หุ้นที่มีความคลุมเครือและมีข้อแม้รวมถึงข้อยกเว้นที่มากที่สุดของการดูกราฟ

2. การดูกราฟหุ้นด้วยตาเปล่าเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้

นอกจากที่การฝึกดูกราฟด้วยตาเปล่าจะเป็นสิ่งที่คลุมเครือมากๆแล้ว จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดก็คือมันอย่างที่สองก็คือ ความคลุมเครือจากกฎหลวมๆเหล่านี้ทำให้การสรุปผลและพัฒนาองค์ความรู้ในการวิเคราะห์หุ้นต่อยอดขึ้นไปนั้นเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากพวกมันขาดความชัดเจนในการที่เราจะนำไปพิสูจน์ถึงสิ่งต่างๆได้อย่างเป็นรูปธรรมนั่นเอง

เชื่อหรือไม่ว่าจุดอ่อนในข้อที่สองของการดูกราฟที่เกิดขึ้นนี้เองทำให้นักเก็งกำไรระดับโลกหลายๆคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า

“การดูกราฟดูตาเปล่าหรือ Technical Analysis แบบดั้งเดิมนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด แต่เป็นสิ่งที่แย่กว่าผิดเสียอีก” (Subjective TA is not even wrong. It is worse than wrong)

เพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่าสิ่งที่เราเชื่ออยู่นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือผิดพลาดมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากมันคลุมเครือจนไม่สามารถนำมาพิสูจน์ได้!

ดังนั้นแล้วการสรุปองค์ความรู้จากสังเกตพฤติกรรมของตลาดการฝึกนั่งดูกราฟด้วยตาเปล่าๆเพียงอย่างเดียวจึงยังไม่เพียงพอ และอาจกลายเป็นสิ่งที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งยวด และอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายในตลาดหุ้นในระดับ “ยุทธ์ศาสตร์” ได้เลยทีเดียว นี่จึงเป็นเหตุผลข้องที่สองที่ทำให้ผมล้มเลิกแนวคิดในการฝึกดูกราฟไป โดยเฉพาะกับทฤษฎีกราฟซึ่งมีความคลุมเครืออยู่สูงไปโดยปริยายนั่นเองครับ

Note : เหตุผลในข้อนี้นั้นผมเหมารวมไปถึงการดู Indicator ต่างๆด้วยตาเปล่าด้วยเช่นกัน เพราะถึงแม้ว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาโดยอาศัยข้อมูลจากราคาหุ้นในอดีตอย่างซับซ้อนพิสดารสักแค่ไหน แต่การที่เรานำมันมาใช้โดยไม่เคยรู้เลยว่าแท้จริงแล้วประสิทธิภาพของเป็นอย่างไร มันก็ไม่ต่างจากการคิด “มโน” ไปเอง โดยอาศัยสัญชาติญาณ, ประสบการณ์ส่วนตัว และความเชื่อ อย่างที่นักดูกราฟหลายๆคนได้ทำผิดพลาดมาแม้แต่น้อย

James Simon Quote

ภาพที่ 2 : James Simon ผู้ก่อตั้งกองทุน Renaissance Technologies ชื่อดัง ที่มีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยทบต้นกว่า 35% หลังหัก Performance Fee ในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า “เราจะทดสอบแนวคิดทุกอย่างของเรากับข้อมูลของตลาดต่างๆในอดีต เพราะอดีตคือกุญแจที่ยอดเยี่ยมในการเข้าใจอนาคต แน่นอนว่าไม่ได้สมบูรณ์แบบ! แต่ความเป็นมนุษย์ของพวกเราคือพลังที่ขับเคลื่อนตลาด และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงภายในข้ามคืน ดังนั้นแล้วยิ่งคุณสามารถที่จะเข้าใจอดีตได้ดีเท่าไหร่ มันก็มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าคุณจะมีข้อมูลที่สำคัญมากๆในการที่จะเข้าใจถึงอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น”

3. การดูกราฟหุ้นด้วยตาเปล่าไม่อาจเอาชนะขีดจำกัดของสมองมนุษย์ (Brain Limit)

สำหรับเหตุผลในข้อที่สามหรือข้อสุดท้ายที่ทำให้ผมเลิกนั่งดูกราฟมานานแล้วก็คือ …

พวกเราทุกคนนั้นย่อมมีขีดจำกัดของสมองในการประมวลผลต่อข้อมูลต่างๆที่เกิดขึ้น(โดยเฉพาะในตลาดหุ้น) ซึ่งมีสาเหตุมาจากทั้งขีดจำกัดทางสมองของแต่ละคน รวมไปถึงขีดจำกัดทางสมองของเผ่าพันธ์มนุษย์ โดยที่ขีดจำกัดต่างๆเหล่านี้ก็ได้เคยถูกนำมาวิจัยกันอย่างมากมาย ยกตัวอย่างเช่น

งานทดลองที่ชี้ให้เห็นว่านักดูกราฟหุ้นที่เชี่ยวชาญนั้นไม่สามารถที่จะแยกแยะกราฟราคาจริงๆกับกราฟราคาปลอมๆซึ่งถูกสร้างขึ้นจากการสุ่มโดยคอมพิวเตอร์ได้ (แต่เราสามารถใช้หลักสถิติช่วยแยกแยะได้โดยใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผล)

งานทดลองที่ชี้ให้เห็นว่าเราสามารถที่จะสรุปผลและวิเคราะห์กราฟออกมาได้ต่างกัน ถึงแม้ว่ากราฟที่เราเห็นนั้นจะเป็นกราฟของหุ้นตัวเดิมๆในช่วงเวลาเดิมๆไม่เปลี่ยนแปลง โดยความไม่สม่ำเสมอในการประมวลผลเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายๆสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อม, อารมณ์ และความเหนื่อยล้าของสมอง

งานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าสมองของเรานั้นถูกออกแบบมาเพื่อมองหารูปแบบบางอย่างอยู่เสมอ ซึ่งทำให้ในหลายๆครั้งเราทำการสรุปถึงรูปแบบบางอย่างขึ้นมาโดยที่มันไม่มีจริง หรือมีอยู่จริงแต่ไม่มีประโยชน์ในการทำกำไร

งานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าการตัดสินใจของมนุษย์นั้นมักที่จะเกิดความผิดพลาดขึ้นในสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนและความแปรปรวนเป็นอย่างสูงอยู่เสมอ (Highly Complex and Random) ซึ่งตลาดหุ้นนั้นถือเป็นที่ที่สถานการณ์ทั้งสองอย่างนั้นมารวมตัวกันอยู่ตลอดเวลา มันจึงทำให้คนส่วนใหญ่ไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงจากการขาดทุนในตลาดหุ้นได้เลยในระยะยาว เพราะถึงแม้ว่าคุณจะสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดจากการประมวลผลข้อมูลที่เกิดขึ้นในตลาดด้วยการควบคุมสติ, สมาธิ และอารมณ์ของคุณได้ในขณะที่ทำการลงทุนอยู่ แต่สมองของเราก็ยังคงไม่สามารถที่จะทำการประมวลผลในสถานการณ์ที่ตัวแปรต่างๆมีความซับซ้อนและมีผลกระทบต่อกันอย่างเป็นลูกโซ่เช่นในตลาดหุ้นได้ดีสักเท่าไหร่ (Configural Problem) มันจึงมักนำมาซึ่งความผิดพลาดในการตัดสินใจของเราอยู่เสมออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

Shepards Tables

ภาพที่ 3 : ภาพ Shepard’s Tables แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างความผิดพลาดในการประมวลผลของสมองจากข้อมูลที่ถูกส่งมาจากสายตาของเรา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในขีดจำกัดในการประมวลผลของสมองมนุษย์ โดยที่ในภาพนั้นเราจะเห็นด้านยาวของโต๊ะทั้งนั้นสองยาวไม่เท่ากัน ทั้งที่จริงแล้วพวกมันมีความยาวเท่าๆกัน

แต่การดูกราฟก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์

สุดท้ายนี้ ถึงแม้ผมจะบอกว่าผมเลิกดูกราฟด้วยตาเปล่าหรือเลิกฝึกดูกราฟด้วยตาเปล่าไปนานแล้วก็ตาม แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่ามันจะไร้ประโยชน์ไปเสียทีเดียว

เพราะอันที่จริงแล้วส่วนหนึ่งแนวคิดต่างๆที่ผมได้เคยนำมาทดสอบและปรับใช้อย่างเป็นระบบในการลงทุน (Backtesting and Implementation) ก็ถือได้ว่าเป็นผลผลิตของประสบการณ์และความทรงจำจากการนั่งฝึกดูกราฟเป็นเวลาวันละหลายชั่วโมงอยู่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นแล้วประโยชน์อย่างหนึ่งของการฝึกดูกราฟด้วยตาเปล่าจึงเป็นการฝึกการเรียนรู้พฤติกรรมของราคาหุ้นในเบื้องต้นที่รวดเร็วและมีคุณค่าเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ผมเองเห็นว่าการฝึกดูกราฟและใช้เพียงความรู้สึกและวิจารณญาณของเราเพื่อสรุปผลลัพท์หรือสร้างทฤษฎีใดๆในการเล่นหุ้นนั้น ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมที่มีอันตรายและความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เราเกิดความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนต่อข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในตลาดได้เป็นอย่างมาก คุณจึงควรที่จะพยายามทดสอบแนวคิดของคุณอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ควบคู่ไปด้วยกันอยู่เสมอ เพราะถึงแม้ว่ามันจะไม่อาจรับประกันถึงผลกำไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของคุณได้ แต่มันก็พอที่จะรับประกันได้ว่าคุณจะไม่เสียเวลาและเงินทองไปกับแนวคิด, ความเชื่อ และกลยุทธ์การลงทุนที่คุณเชื่อว่ามันอาจมีประสิทธิภาพ ทั้งที่จริงแล้วพวกมันอาจไม่เคยสร้างผลตอบแทนในอดีตได้เลยก็เป็นได้

… และนี่ก็คือเหตุผลหลักๆที่ว่าทำไมผมจึงเลิกดูกราฟ, ตีกราฟ และฝึกดูกราฟ (ด้วยตาเปล่า) ไปโดยปริยายนั่นเองครับ!

แมงเม่าคลับ.คอม หนังสือหุ้นน่าอ่าน, วิธีการเล่นหุ้น, การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค, จิตวิทยาการลงทุน และการบริหารเงินทุน Money Management

ถ้าเห็นว่าบทความไหนมีประโยชน์ เพื่อนๆสามารถที่จะนำบทความไปแปะเพื่อแบ่งปันได้โดยไม่มีปัญหา แต่ยังไงขอแรงช่วยลิงค์อ้างอิงกลับมาที่แมงเม่าคลับกันหน่อยนะครับ :D หมายเหตุ : สำหรับการแปะลิงค์ใน Pantip.com ช่วยใส่ Link ให้เป็น http://www.mangmaoclub.com เพื่อให้แปะลงไปได้โดยไม่ Error ขอบคุณครับ :)